Homeประวัติศาสตร์จีนตำนานวัดเส้าหลิน

ตำนานวัดเส้าหลิน

ตำนานวัดเส้าหลิน

 

วัดเส้าหลินสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.495 ในยุคราชวงศ์เหนือ – ใต้ ในเขตอิทธิพลราชวงศ์เป่ยเว่ย ( 北魏 เว่ยเหนือ ) รัชสมัยของพระเจ้าเสี้ยวเหวินตี้ (孝文帝) โดยแรกเริ่มเดิมทีมีจุดประสงค์เพื่อให้พระภิกษุจากอินเดีย นาม ป๋าถัว หรือ พระภัทรเถระ (跋陀) มาจำวัดและเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยขณะนั้นพระอาจารย์ป๋าถัวมีลูกศิษย์ลูกหานับร้อยๆ คนเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามหลังจากพระอาจารย์ป๋าถัวมรณภาพ ชื่อเสียงของวัดเส้าหลินก็ค่อยๆ เสื่อมถอยลง

…….ล่วงมาถึง ค.ศ.527 เมื่อพระภิกษุจากอินเดียใต้ รูปหนึ่งนาม ต๋าม่อ (达摩) หรือพระโพธิธรรม ตโมภิกขุ หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม “ตั๊กม้อ” ได้เดินทางมาถึงวัดเส้าหลิน ตำนานอันยิ่งใหญ่ของวัดเส้าหลินจึงเริ่มขึ้น

#ตำนานพระโพธิธรรม

…….ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เดิมทีพระโพธิธรรมเป็นองค์ชายในวรรณะกษัตริย์ของอินเดีย คือเป็นพระโอรสองค์ที่ 3 ของพระเจ้าสิงหวรมัน กษัตริย์แคว้นปัลลวะ ( มีข้อมูลอีกแหล่งกล่าวว่า เป็นชาวแคว้นคันธาระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศปากีสถาน – อัฟกานิสถาน ) โดยมีพระนามว่า “ทัศโมกข์” เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม พระเจ้าสิงหวรมันสิ้นพระชนม์ องค์ชายทัศโมกข์ผู้เบื่อหน่ายการแย่งชิงอำนาจทางโลก จึงไปศึกษาแสวงธรรมอยู่กับพระปรัชญาตาระเถระ ผู้เป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 27 ไม่นานจึงตัดสินใจออกผนวชและได้ชื่อทางธรรมว่า ” โพธิธรรม ตโมภิกขุ ”

…….ภายหลังศึกษาพระธรรมมาอย่างยาวนานจนแตกฉานในด้านวิปัสนาและการเจริญสติในทุกอิริยาบท พระปรัชญาตาระเถระ จึงมอบหมายหน้าที่สำคัญให้พระโพธิธรรม คือการดำรงตำแหน่ง สังฆปรินายกองค์ที่ 28 พร้อมทั้งกล่าวว่า

” ท่านโพธิธรรมมีบุญญลักษณะ มีความรู้ทางธรรมอันดีพร้อม และอายุยืนยาวมากกว่าพระสังฆปรินายกองค์ใดๆ หลังจากที่ฉันดับขันธ์ไปแล้วเป็นเวลา 67 ปี แผ่นดินนี้จะเกิดภัยสงครามใหญ่อันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านจึงควรนำวิถีธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เผยแพร่ไปสู่ดินแดนบูรพาเถิด”

…….ค.ศ. 525 เมื่อพระโพธิธรรมได้พิจารณาเห็นถึงวาระอันควรท่านจึงประกาศต่อบรรดาสานุศิษย์ในอินเดียว่า

“บัดนี้เวลาแห่งการปฏิบัติภาระกิจสำคัญมาถึงแล้วอาจารย์ต้องนำเอาหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ ไปสู่แดนบูรพา”

…….พระโพธิธรรม สังฆปรินายกองค์ที่ 28 จึง โดยสารทางเรือที่เมืองปาตาลีบุตร มุ่งหน้าสู่เมืองหนานไห่ ( ปัจจุบันคือ นครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ) เขตปกครองราชวงศ์แดนใต้ “หนานเหลียง” ( 南涼 เหลียงใต้ )

…….ด้วยรูปลักษณ์ของพระโพธิธรรม ที่เป็นชาวอินเดียมีหนวดเคราดกรุงรัง นัยน์ตาทั้งคู่กลมโตเป็นสีฟ้า ผิวดำคล้ำ ชาวบ้านที่พบเห็นก็จะหลอกลูกหลานว่า
” พระแขกจะมาจับตัว ” เพื่อให้เด็กๆกลัว ฉะนั้นแม้ว่าท่านจะเดินไปทางไหน เด็กๆก็จะพากันวิ่งหนีเข้าบ้านหมด บางคราวต้องฝ่าแดดกรำฝนท่านก็จะดึงเอาจีวรขึ้นคลุมศีรษะกันร้อนกันหนาว นานวันผ้าจีวรที่ห่มอยู่ก็ชำรุดคร่ำคร่าอันเนื่องจากการรอนแรมนานถึง 3 ปี!

#พบพานเหลียงอู่ตี้

…….ฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ ( 梁武帝 )
มีพระนามเดิมว่า เซียวเหยี่ยน ( 蕭衍 )
พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ และได้รับการยกย่องว่าเป็น “พระเจ้าอโศกแห่งจงกั๋ว” พระองค์โปรดให้มีการสร้างวัด เจดีย์ บริจาคทาน พิมพ์พระคัมภีร์ ฯลฯ นับเป็นยุคทองยุคหนึ่งของพระพุทธศาสนา

…….ครั้นเหลียงอู่ตี้ทรงทราบว่า มีภิกษุจากอินเดียภิกขาจารมา พระองค์จึงได้ทรงนิมนต์มาปฏิสันถารในพระราชวัง และถามว่าสิ่งที่พระองค์ทำไปนั้นได้กุศลมากใช่ไหม แต่นึกไม่ถึงว่าจะเจอพระภิกษุที่แปลกกว่ารูปอื่น เพราะพูดจาช่างขัดหูเหลือเกิน พระโพธิธรรมกล่าวว่า

” การทำบุญทางโลกนั้น มิได้กุศลทางธรรมเลยสักนิด ”

เหลียงอู่ตี้โกรธจัดถึงขั้นถามแกมข่มขู่กลับไปว่า

” รู้ไหมว่าท่านพูดอยู่กับใคร ”

พระโพธิธรรมตอบอย่างใจเย็นว่า

” ไม่รู้ ”

เพราะเข้าใจแก่นแท้ทางพระพุทธศาสนาแตกต่างกัน พระโพธิธรรมจึงละทิ้งแดนใต้ข้ามลำน้ำฉางเจียง ( แยงซีเกียง ) ขึ้นไปทางเหนือ

…….เมื่อพระโพธิธรรมเดินทางพ้นจากเมืองไปแล้ว พระธรรมาจารย์ป๋อจี่ ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงปราดเปรื่องรอบรู้พระไตรปิฎกได้เข้าเฝ้าแล้วกราบทูลถามพระเจ้าเหลียงอู่ตี้ว่า

” พระภิกษุเซินตู๋รูปนั้น ขณะนี้พำนักอยู่ที่ใดมหาบพิตร? ”

เหลียงอู่ตี้ ทรงตรัสว่า

“จากไปแล้ว…..ภิกษุรูปนั้นมัน…เฮ้อ ”

พระธรรมจารย์ป๋อจี่ กราบทูลว่า

“ท่านคือมหาโพธิสัตว์อวตารมาทีเดียว…ฝ่าพระบาทได้พบท่าน เหมือนไม่ได้พบ ได้เห็นท่าน แต่เหมือนไม่ได้เห็น”

…….ฮ่องเต้เหลียงอู่ตี้ ทรงทราบเช่นนั้นจึงมีพระดำริ จะให้ทหารออกติดตามไปอาราธนาท่านกลับมา ฝ่ายพระธรรมจารย์ป๋อจี่ ได้กราบทูลต่อไปอีกว่า

“ไร้ประโยชน์…ถึงจะยกทัพไปแสนนาย ท่านก็ไม่กลับมา ”
#ตัดแขนบูชาธรรม

…….หากจะกล่าวถึงบรรยากาศการนับถือพระพุทธศาสนาระหว่างทางเหนือและใต้นั้นช่างต่างกัน ทางใต้เน้นไปที่พระสูตรคัมภีร์ ตีความหลักธรรมคำสั่งสอนตามพื้นฐานของบัณฑิตชาวฮั่น ส่วนทางเหนือจะเน้นด้านวิปัสนากรรมฐาน เพื่อสั่งสมตบะฌาน ซึ่งไปด้วยดีกับแนวทางของพระโพธิธรรม

…….เมื่อพระโพธิธรรมเดินทางถึงเขาซงซาน และได้ยินชาวบ้านระแวกนั้นกล่าวว่า ที่ภูเขาเส้าซื่อ มีอารามแห่งหนึ่งนามว่า เส้าหลิน ในอดีตมีภิกษุจากอินเดียมาจำพรรษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น พระโพธิธรรมจึงตัดสินใจเดินทางไปยังอารามเส้าหลิน

…….โดยเมื่อมาถึงท่านกลับไม่ได้เข้าวัด แต่เดินทางไปถึงถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับวัด ในถ้ำพระโพธิธรรมหันหน้าเข้าผนังแล้วจึงนั่งทำสมาธิและใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำแห่งนั้นเป็นเวลายาวนานถึง 9 ปี เรื่องราวที่พระโพธิธรรมนั่งวิปัสนาในถ้ำนั้น กลายเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ภิกษุผู้ใฝ่ธรรมรูปหนึ่งนามว่า เสินก่วง ( 神光 )
เมื่อทราบข่าวจึงคิดปวารนาตนเป็นศิษย์เร่งรุดมายังเขาเส้าซื่อ

…….เวลาผ่านไป 9 ปี ค.ศ. 536 ศักราชไท่เหอปีที่ 10 วันนั้นหิมะตกหนัก ภิกษุเสินกวงคุกเข่าอยู่หน้าถ้ำตลอดทั้งคืน จนหิมะท่วมสูงถึงเอว ครั้นรุ่งเช้าพระโพธิธรรมตื่นจากการนั่งสมาธิ ก็ได้เดินออกมาจากถ้ำ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า

“ท่านมาคุกเข่าตากหิมะอยู่ที่นี่ เพื่อประสงค์อันไร? ”

ภิกษุเสินก่วง ตื้นตันจนน้ำตาไหลชึมออกมา แล้วตอบว่า
“ข้าผู้น้อย….มาขอรับการถ่ายทอดวิถีธรรมขอรับ
ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาเปิด ‘ประตูมรรคผล’ ชี้ทางแห่ง ‘พุทธะ’ แก่ศิษย์ด้วยเถิด”

พระโพธิธรรม ตอบว่า
“พระพุทธองค์สละเวลามากมายทุ่มเทชีวิตในการฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรคผล แล้วตัวท่านอาศัยความตั้งใจเพียงเล็กน้อยมาขอรับธรรมอันยิ่งใหญ่ คงยากที่จะสมหวัง!”

ขณะนั้น ภิกษุเสินก่วงได้แต่ก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
พระโพธิธรรมก็ย้อนถามอีกว่า

“หิมะสีอะไร?”

ภิกษุเสินก่วง “ขาวขอรับ”

“ถ้าเช่นนั้น…ท่านจงรอไปจนถึงเวลาที่หิมะเป็นสีแดงเมื่อใด เมื่อนั้นแหละฉันจึงจะถ่ายทอดวิถีธรรมเพื่อความหลุดพ้นแก่ท่าน !”

ทันใดนั้นเอง ภิกษุเสินกวงก็หันไปคว้ามีดตัดฟืนข้างกายยกขึ้นมาฟันแขนซ้ายตนเองจนขาดตกลงบนพื้น! พื้นหิมะที่ขาวโพลนได้กลายเป็นสีแดงฉาน จากนั้นท่านก็ใช้มือขวาหยิบแขนที่ขาด ยกขึ้นถวายบูชาพระโพธิธรรมประหนึ่งแทนความในใจทั้งหมด

พระโพธิธรรมจึงกล่าวขึ้นว่า

“เพื่อแสวงหาโมกขธรรม พระโพธิสัตว์ไม่ติดยึดในสังขาร และชีวิตของท่านผู้สละแขนเพื่อธรรมอันประเสริฐ นับว่าควรสรรเสริญ…นับว่าควรสรรเสริญ”

…….ภิกษุเสินก่วงได้รับฉายาทางธรรมใหม่ว่า “ฮุ่ยเคอ” ( 慧可 )
ภายหลังจึงได้ดำรงตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ที่ 2 แห่งนิกายฌาน ( ฉานในภาษาจีนกลาง เซ็นในภาษาญี่ปุ่น )

#เผยแผ่นิกายฌานและวรยุทธ์

…….พระโพธิธรรมลงจากถ้ำเพื่อมาถ่ายทอดพระธรรมแก่พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธา โดยเฉพาะแนวทางการเจริญวิปัสนากรรมฐานที่ท่านคิดขึ้น ได้กลายเป็นรูปแบบนิกายใหม่ที่ชื่อว่า ฉาน ( ฌาน ในภาษาสันสกฤต )
ค.ศ. 536 มีการแสดงธรรมครั้งใหญ่ขึ้นที่อารามเส้าหลิน โดยแสดงหลักธรรม ลังกะวัทระสูตร ( 楞伽師資記 )
มีภิกษุและเหล่าผู้มีความรู้เข้าร่วมมากมาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนิกายฉานนับแต่นั้นเป็นต้นมา ต่อมาพระโพธิธรรมได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักเป่ยเว่ย ให้เป็น พระสังฆปรินายกองค์แรกแห่งนิกายฉาน
…….เมื่อถ่ายทอดพระธรรมและองค์ความรู้ต่างๆแก่เหล่าศิษย์สำเร็จ ท่านจึงเดินทางออกจากวัดเส้าหลินและไปมรณภาพที่อี่ว์เหมิน (禹门) พื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งปัจจุบันอยู่ในมณฑลเหอหนานจากการที่พระโพธิธรรมนั่งหันหน้าเข้าผนังทำสมาธิอยู่ในถ้ำถึง 9 ปีนั้นทำให้บนผนังเกิดอภินิหารเป็นรอยเงาของท่านติดตรึงอยู่ ภายหลังจึงเรียกกันว่า ถ้ำตั๊กม้อ (达摩洞)

…….ในส่วนวิทยายุทธ์ที่ปรมาจารย์ตั๊กม้อคิดค้นขึ้นนั้นก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ท่านเห็นว่าวัดเส้าหลินนี้ตั้งอยู่ ณ หุบเขาซงซาน ซึ่งเป็นป่าทึบที่ชุกชุมไปด้วยสัตว์เดรัจฉานน้อยใหญ่ การที่บรรดาภิกษุต้องนั่งสมาธินานๆ โดยไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมทรุดได้ ดังนั้นท่านจึงพินิจการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของสัตว์ชนิดต่างๆ และดัดแปลงนำมากำหนดเป็นท่าร่างเพื่อการออกกำลังกายและใช้ป้องกันตัว

…….นอกจากนี้พระโพธิธรรมยังผสานองค์ความรู้ด้านการกำหนดลมหายใจ ตามแนวทางปฏิบัติในคัมภีร์อุปนิษัท ที่มีการฝึกฝนมาอย่างยาวนานของอินเดีย มาพัฒนาเป็นรูปแบบวิชาด้านกำหนดลมปราณในแบบเส้าหลิน และยังมีการกล่าวอีกว่าได้พัฒนาเป็นเน่ยเจียในปัจจุบัน ในตำนานยังกล่าวอีกว่ายังมีคัมภีร์ยุทธ 2 ฉบับที่ว่ากันว่าคิดค้นโดยพระโพธิธรรม คือ คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น และวิชาฝ่ามือพิชิตมังกร

#วัดเส้าหลินกับบริบททางสังคม

…….ต่อมาด้วยวิทยายุทธ์อันล้ำลึกเหล่านี้เองที่ผลักให้ พระแห่งวัดเส้าหลินต้องเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องทางโลก โดยหนึ่งในเรื่องที่โด่งดังก็เช่น เมื่อต้นศตวรรษที่ 7 ในยุคราชวงศ์สุย – ถัง พระวัดเส้าหลินได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ‘หลี่ซื่อหมิน’ เพื่อต่อสู้กับ ‘หวังซื่อชง’ โดยต่อมาเมื่อหลี่ซื่อหมินได้รับการสถาปนาเป็นองค์ฮ่องเต้ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง นอกจากพระสงฆ์ 13 รูปที่ได้การแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้ได้ดำรงตำแหน่งในทางโลกแล้ว วัดเส้าหลินยังได้อานิสงส์จากการอุปถัมป์ขององค์ฮ่องเต้ไปด้วยอย่างมากมาย
ขณะที่เมื่อราชวงศ์ถังเข้าสู่ยุคของพระนางบูเช็กเทียน (อู่เจ๋อเทียน:武则天) เนื่องจากในยุคพระนางบูเช็กเทียนนี้มีการสนับสนุนการเผยแผ่ศาสนาพุทธเป็นอย่างมาก ด้านวัดเส้าหลินก็กลายเป็นวัดอันดับหนึ่งในใต้หล้า (天下第一名刹) ไปโดยปริยาย ครั้นเมื่อวันคืนผันผ่าน เวลาล่วงเลยมาพันกว่าปี ประเทศจีนเข้าสู่ความวุ่นวายในยุคสาธารณรัฐ วัดเส้าหลินก็ถึงยุคตกต่ำ เข้าขั้นหายนะ

…….เมื่อปี ค.ศ.1927 ในช่วงที่จีนกำลังวุ่นวายกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจของเหล่าขุนศึก วัดเส้าหลินก็ถูกเผาทำลายครั้งใหญ่โดยเพลิงได้ลุกโชนอยู่นานถึง 45 วัน สิ่งก่อสร้างในวัดเส้าหลินเกือบทั้งหมดต้องวายวอดสิ้น วิหาร ศาลา ตึกหลักๆ นั้นถูกเผา ส่วนตำราไม้แกะสลัก “ประวัติวัดเส้าหลิน” กับ “กังฟูมวยเส้าหลิน” รวมถึงตำราและสมบัติล้ำค่าของวัดมากมาย ต่างก็สูญหายไปในเพลิงอัคคีครั้งนั้น

…….ในปี ค.ศ.1949 เมื่อประเทศจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม วัดเส้าหลินก็มิพ้นต้องรกร้าง จะมีก็เพียงวิชากังฟูเส้าหลินที่ยังคงถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา และเป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะในนิยายกำลังภายในเล่มแล้วเล่มเล่า มิพ้นต้องกล่าวถึงแขนงวิทยายุทธ์ที่ล้ำลึกจากวัดเส้าหลิน

…….จนกระทั่งเมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศ และความสนใจเกี่ยวกับกังฟูวัดเส้าหลินจากภายนอกเริ่มร้อนแรง ทางนักลงทุนจากเกาะฮ่องกงก็สนใจจะผลิตภาพยนตร์จอเงินเกี่ยวกับกังฟูของวัดเส้าหลิน โดยยกทีมงานเข้ามาหานักแสดงถึงจีนแผ่นดินใหญ่ และถ่ายทำ ณ สถานที่จริงและอย่างเช่นที่ทราบ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 เมื่อมีการออกฉาย ภาพยนตร์ “เสี้ยวลิ้มยี่ (少林寺)” ก็โด่งดังเป็นพลุแตก พร้อมๆ กับการถือกำเนิดของดารานักบู๊คนใหม่ คือ หลี่เหลียนเจี๋ย (李连杰) หรือที่ฝรั่งรู้จักกันในนามเจ็ทลี (Jet Li)

#อ้างอิงจาก :

บทความ คัมภีร์เซ็นของตั๊กม้อ : อ้างคัมภีร์มิสู้ละวางคัมภีร์ โดย เอื้อ อัญชลี หนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 – 20 พฤษภาคม 2553 ปีที่ 30 ฉบับ 1552

รัฐศาสตร์ถังไท่จง โดย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

Credit : ภาคภูมิ เนตร์พินทุ

แสดงความเห็นได้ที่
Share Button
Previous post
แผนผังสามก๊ก
Next post
ด่านแฮบังก๋วน เมืองคือด่าน ด่านคือเมือง